บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตเเละการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

BEE BEE

BEE

แบ๊ว แบ๊ว

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กีฬาพ้นบ้าน

การละเล่นพื้นบ้าน

กีฬาพื้นบ้าน
           เป็นการละเล่นที่มีในกลุ่มสังคมท้องถิ่น ในอดีตมีกีฬาพื้นบ้านต่างๆให้เล่นมากมายตั้งแต่รุ่นก่อนๆจนกระทั่งถึงรุ่นปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่ซึ่งแต่ก็น้อยกว่าในสมัยก่อนมากเพราะสมัยปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามามากจึงทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้เล่นกันนัก กิจกรรมการเล่นของสังคม เป็นกิจกรรมนันทนาการหนึ่งซึ่งได้รับการยอมรับร่วมกันในสังคม โดยมีรากฐานมาจากความเป็นจริงแห่งวิถีชีวิตของชุมชนที่มีการประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน การละเล่นแสดงออกด้วยการเคลื่อนไหวกริยาอาการเป็นหลัก อาจมีดนตรี การขับร้องหรือการฟ้อนรำประกอบการเล่น มีจุดมุ่งหมาย เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในโอกาสต่าง ๆ การละเล่นบางชนิดได้รับการถ่ายทอดสืบสานต่อกันมา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนารูปแบบอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะเฉพาะถิ่นดังนี้การละเล่นพื้นบ้านจึงเป็นผลิตผลอันเกิดจากความคิดและจินตนาการของมนุษย์ย่อมสะท้อนถึงโลกทัศน์ ภูมิธรรม และจิตวิญยาณของบรรพชนในท้องถิ่นที่ได้ถูกหล่อหลอมจนตกผลึกเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าและได้กลายเป็นมรดำวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศชาติการละเล่นนับว่ามีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป้นการละเล่นของเด็กและของผู้ใหญ่ล้วนแสดงออกถึงสภาพชีวิต ความเป็นอยู่
           ขนบธรรมเนียมประเพณีค่านิยมและความเชื่อของสังคมนั้น ๆ ทั้งยังก่อคุณค่าแก่ผู้เล่นและผู้เฝ้าดู ในด้านการผ่อนคลายอารมณ์ ความเครียด เสริมสร้างพลังกายให้แข็งแรง ฝึกความคิด ความเข้าใจ การแก้ปัญหานอกจากนี้ยังก่อให้เกิดระเบียบวินัย เกิดดารยอมรับกฎเกณฑ์ของสังคม สรรค์สร้างความเป็นกับญาติมิตรขึ้นในชุมชน ทำให้สังคมเกิดความเข้มแข็งจนก่อเป็นความดีงามอันเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต
           การละเล่นของไทยไม่สามารถลำดับให้เห็นพัฒนาการตามกาลเวลาได้อย่างชัดเจนทั้งนี้เนื่องจากการละเล่นส่วนใหญ่เป็นกระบวนการถ่ายทอดด้วยการปฏิบัติ มิใช่ตำรา จึงขาดการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะใช้เป็นข้อมูลในการสร้างลำดับอายุสมัยของการละเล่นแต่ละอย่างได้ยิ่งไปกว่านั้น การละเล่นของไทยส่วนใหญ่มีลักษณะของการพัฒนาตนเองและค่อยเป็นค่อยไปเพราะจดจำสืบต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (ร.อ.หญิงปรียา หิรัญประดิษฐ์ ๒๕๓๓ : ๑๕) และโดยเหตุที่การละเล่นเกิดขึ้นมายาวนานและปรากฎอยู่ทั่วไปในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยทั่วไป เช่นนี้ทำให้เกิดความหลากหลายของการละเล่นพื้นบ้าน มีทั้งลักษณะร่วม และลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ตรงกันในทุกท้องถิ่นก็คือมีการละเล่นพื้นบ้านทั้งที่เป็นของเด็กและของผู้ใหญ่


วิ่งสวมกระสอบ
    ผู้เล่น

           ผู้เล่นได้ทุกเพศทุกวัย
    อุปกรณ์การเล่น
          กระสอบข้าวขนาดใหญ่ เท่ากับจำนวนผู้เล่น สนามเล่นระยะทางวิ่ง 30 เมตร
    วิธีการเล่น
          1. วางกระสอบไว้หลังเส้นเริ่ม ผู้เล่นยืนเตรียมพร้อมในท่าตรง
          2. เมื่อได้ยินสัญญาณเริ่มเล่น ให้ผู้เล่นทุกคนรีบสวมกระสอบแข่งขัน มือจับที่ปากกระสอบแล้วให้วิ่งหรือกระโดดไปที่เส้นชัย
          3. ผู้เล่นคนใดถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ
          4. บางครั้งอาจจะเป็นการแข่งขันวิ่งอ้อมหลักวิ่งกลับเข้าเส้นชัยที่เส้นเริ่มต้นก็ได้
    กติกา
          1. ผู้เล่นจะต้องสวมกระสอบอยู่ตลอดเวลา โดยวิ่งหรือกระโดดภายในกระสอบ
          2. ถ้ากระสอบหลุดจากมือ จะต้องหยุดแล้วให้ดึงกระสอบขึ้นโดยเร็ว แต่ต้องไม่ให้เท้าหลุดจากกระสอบ
          3. ผู้เล่นถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะและหากมีการฝ่าฝืนจะถือว่าแพ้


มวยทะเล
    ผู้เล่น
          เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่   ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
    อุปกรณ์
          1. นวม
          2. ไม้หมากหรือเสากลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 6-7 นิ้ว มีความยาว 3-4 เมตร
    วิธีการเล่น
          1. เล่นครั้งละ 2 คน สวมนวมทั้ง 2 ข้าง ปีนขึ้นไปนั่งคร่อมลักษณะขี่ม้าบนเสาไม้พาด ให้แต่ละคนนั่งห่างจากจุดกลางของเสาไม้พาด ประมาณ 1 เมตร หันหน้าเข้าหากัน และพยายามนั่งทรงตัวอยู่บนเสาไม้พาดให้ได้
          2. กรรมการจะให้สัญญาณเริ่มเล่น ผู้เล่นทั้ง 2 คน จะต้องเขยิบเข้าหากันแล้วต่างชกต่อยกัน เช่นเดียวกับการชกมวยโดยทั่วไป   เพื่อทำให้คู่ต่อสู้ตกจากไม้พาด
          3. ผู้เล่นคนใดสามารถชกต่อยให้อีกฝ่ายหนึ่ง   ตกลงจากเสาไม้พาดได้ถือว่าเป็นผู้ชนะ ในครั้งเดียว
          4. รอบรองชนะเลิศหรือรอบ 4 คนสุดท้าย ให้ทำการแข่งขัน ชกเอาผลการแข่งขัน 2 ใน 3 ยก จนถึงรอบชิงชนะเลิศ

วิ่งเปี้ยว
    ผู้เล่น
          สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย มีผู้เล่นจำนวน 10 คน แบ่งเป็น ชาย 5 คน หญิง 5 คน หรือมีผู้ชายได้ไม่เกิน 5 คน ยืน วิ่ง สลับกันชายหญิง
    อุปกรณ์
          1. ใช้ผ้าขนหนูเล็ก จำนวน 2 ผืน
          2. เสาหลักขนาดเท่าเสาเรือน 2 เสา ห่างกัน 10 เมตร
    วิธีการเล่น
          1. ผู้เล่นทั้ง 2 ทีม ต้องยืนเป็นแถวเรียงหนึ่งอยู่ด้านหลังของเสาฝ่ายละต้น เยื้องมาทางด้านขวาของเสาเล็กน้อยหันหน้าเข้าหากัน ผู้เล่นคนแรกอยู่หัวแถวเป็นผู้ชายก่อน ให้ถือผ้าไว้ด้วยมือที่ถนัด
          2. เมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มเล่น ให้ผู้เล่นคนแรกของทั้งสองฝ่ายออกวิ่งมายังเสาของฝ่ายตรงข้าม แล้ววิ่งอ้อมเสาทางซ้ายมือ วิ่งกลับมายังเสาเดิมของตนเอง
          3. พอวิ่งมาถึงเสาของตน ก็ส่งผ้าให้ผู้เล่นคนต่อไป ส่งกันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไล่ใช้ผ้าตีทีมตรงข้าม ได้เมื่อส่งผ้าให้เพื่อนแล้ววิ่งต่อท้ายแถว
          4. ต่างฝ่ายต่างวิ่งให้เร็วที่สุด จะวิ่งกี่รอบก็ได้จนกว่าทีมใดใช้ผ้าตีฝ่ายตรงข้ามได้ จึงเป็นฝ่ายชนะ
          5. ขณะฝ่ายตรงข้ามกำลังวิ่งผ่านเสาของเราให้ยืนห่างจากเสาให้วิ่งผ่านไป ระยะห่าง 1.5 เมตร แล้วจึงขยับไปรอรับผ้าด้านหลังเสาเท่านั้น
    กติกา
          1. ผู้เล่นแต่ละฝ่ายต้องละฝ่ายต้องรับผ้าในแนวหลังของเสานั้น จะรับหน้าเสาไม่ได้
          2. หากผ้าตกขณะส่งรับ ให้ผู้ส่งเก็บส่งให้แล้วเสร็จ หรือถือวิ่งแล้วตกก็ให้เก็บวิ่งต่อไปได้ด้วยตนเอง
          3. การรับส่งผ้าต้องมือต่อมือเท่านั้น
          4. ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องไม่ขวางทางวิ่ง คู่ต่อสู้
          5. ผู้เข้าแข่งขันฝ่าฝืนกติกาจะถือว่าแพ้ 

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สอนการออกกำลังกาย แอโรบิก Aerobics Exercise

การป้องกัน และการดูแลอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

          การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆส่วนของร่างกาย การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้น มีตำแหน่งที่เกิดแตกต่างกัน แล้วแต่การใช้ส่วนหรืออวัยวะของร่างกายหนักไปในทางใด การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ทำให้เกิดการจำกัดการเคลื่อนไหวและโอกาสของนักกีฬา การบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้นักกีฬาต้องงดการฝึกซ้อมหรือไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ยิ่งถ้าเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงด้วยแล้วอาจจะหมายถึงจุดจบแห่งอนาคตของการเล่นกีฬานั้นๆทีเดียว การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาบางชนิด นักกีฬาหรือผู้ฝึกสอนสามารถรักษาพยาบาลเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางการแพทย์มากนัก แต่การบาดเจ็บบางชนิดจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้บำบัดรักษาเท่านั้น
          การปฐมพยาบาลและการรักษาเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธีจะช่วยทำให้การรักษาง่ายขึ้น ช่วยลดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนลงได้


ลักษณะและชนิดของการบาดเจ็บจากการกีฬา
       การบาดเจ็บจากการกีฬาที่พบบ่อยแบ่งเป็นชนิดได้ดังต่อไปนี้
       1.      บาดเจ็บที่ผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนัง   โดยปกติผิวหนังจะประกอบขึ้นด้วย 3 ชั้นคือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง  ผิวหนังทำหน้าที่ห่อหุ้มร่างกายเป็นด่านแรกที่ช่วยป้องกันอันตรายมิให้เกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน ช่วยระบายความร้อน การบาดเจ็บที่เกิดกับผิวหนังมีดังนี้
              1.1.   ผิวหนังถลอก (Abrasion) เป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง ทำให้บางส่วนของผิวหนังหลุดออกไป บางครั้งอาจลึกถึงชั้นหนังแท้หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีความเจ็บปวด เลือดจะไหลออกซึมๆ การหายเกิดขึ้นได้รวดเร็ว ถ้าไม่มีการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน  สาเหตุ มักจะมาจากการเสียดสี เช่น ลื่นล้มผิวหนังไถลไปบนพื้น  การปฐมพยาบาลโดยถูสบู่และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทายาใส่แผลสด พยายามให้แผลแห้งไว้โดยไม่จำเป็นต้องปิดแผล หากไม่มีการติดเชื้อ แผลจะตกสะเก็ดและหลุดออกเองตามธรรมชาติ ภายใน 7  8 วัน
               1.2.   ผิวหนังพอง (Blisters) เป็นการบาดเจ็บจากการแยกของชั้นผิวหนังด้วยกันเองออกไป โดยชั้นระหว่างที่ผิวหนังแยกออกจะมีน้ำเหลืองคั่งจากเซลล์ข้างเคียง  สาเหตุเกิดจากการเสียดสีซ้ำๆกัน มักจะเกิดที่มือหรือเท้า  การปฐมพยาบาลโดยทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่  เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ ใช้เข็มที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคเจาะเอาน้ำออกโดยไม่จำเป็นต้องลอกหนังส่วนที่พองออก ทายารักษาแผลสดแล้วปิดพลาสเตอร์ หมั่นรักษาความสะอาดและให้บริเวณนั้นแห้งอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเสียดสีซ้ำจนกว่าแผลจะหาย ซึ่งกินเวลาประมาณ 7 โ€“ 10 วัน
                1.3.   ฟกช้ำ (Contusion) เกิดจากมีแรงกระแทกโดยตรง ซึ่งโดยมากมาจากวัตถุแข็ง ไม่มีคม ทำให้เกิดเลือดคั่งอยู่และไม่สามารถซึมออกสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงได้ อาจมีอาการเจ็บปวด บวมร่วมด้วย   การปฐมพยาบาลโดยการประคบเย็นโดยทันทีพร้อมกับกดเบาๆตรงบริเวณฟกช้ำ ความเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดหยุดและบรรเทาความเจ็บปวดได้ อาการฟกช้ำนี้จะหายเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับปริมาณของเลือดที่ออกในชั้นใต้ผิวหนัง  หลังจาก 24 โ€“ 48 ชั่วโมงไปแล้ว จึงใช้ความร้อนประคบจะช่วยให้ก้อนเลือดสลายตัวได้เร็วขึ้น
                1.4.   ผิวหนังฉีกขาด (Laceration) เป็นการที่ผิวหนังถูกทำลายจนเห็นชั้นไขมันใต้ผิวหนัง บาดแผลคล้ายโดนของมีคมบาดหรือฉีกขาด อาจมีการฟกช้ำร่วมด้วยสาเหตุมักจะถูกของแข็งไม่มีคมกระแทกอย่างรุนแรง  การปฐมพยาบาลโดยการห้ามเลือดก่อน แล้วทำความสะอาดบาดแผล ปิดบาดแผลด้วยผ้าสะอาดแล้วนำส่งแพทย์ทันที
                1.5.   แผลถูกแทง (Puncture Wound) ลักษณะของบาดแผลชนิดนี้ ปากแผลจะเล็กแต่ลึก อาจทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายใน ทำให้มีการตกเลือด อาจมีการติดเชื้อร่วมด้วยโดยเฉพาะเชื้อบาดทะยัก สาเหตุเกิดจากถูกของแหลมทิ่มตำเช่น ตะปู เศษไม้ หนาม ฯลฯ การปฐมพยาบาลทำโดยการห้ามเลือด ทำความสะอาดบาดแผลและนำส่งแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
                1.6.   แผลบาด (Incision) ลักษณะของบาดแผล ขอบแผลเรียบยาว บริเวณข้างเคียงไม่ได้รับการกระทบกระเทือน แผลจะแยกออกจากกัน สาเหตุเกิดจากวัตถุมีคม  การปฐมพยาบาลโดยการห้ามเลือด ถ้าบาดแผลไม่ยาวมาก อาจใช้นิ้วมือที่สะอาดกดบาดแผลก็ได้ แล้วทำความสะอาด ทายาใส่แผลสด  แต่ถ้าบาดแผลลึกและยาว ต้องทำการห้ามเลือดและนำส่งแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
                1.7.   ผิวไหม้จากแสงแดด (Sunburn) เกิดจากการเล่นกีฬากลางแจ้ง ผิวหนังจะสัมผัสแสงแดดโดยตรง ความรุนแรงอาจแตกต่างกันตั้งแต่เกิดจุดแดงเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนัง ไปจนกระทั่งเกิดเป็นตุ่มพองสร้างความเจ็บปวดและจะคงลักษณะนี้ได้หลายชั่วโมงหรือหลายวัน จนผิวชั้นนอกๆหลุดออกมา ตุ่มพองจะมีการตกสะเก็ดหรือบางรายอาจเกิดแผลเป็นก็ได้ การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดในช่วงเวลา 10.00 โ€“ 14.00 น. สวมเสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด                   การปฐมพยาบาลโดยทายารักษาผิวไหม้จากความร้อน ถ้ามีอาการปวดควรรับประทานยาแก้ปวดหรือถ้าปวดมากๆควรรีบปรึกษาแพทย์
      2.      การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและเอ็นกล้ามเนื้อ  มีดังนี้
                2.1.   ตะคริว (Cramp)  เกิดจากการเกร็งตัวชั่วคราวของกล้ามเนื้อ  ทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นแข็งเกร็งและมีอาการปวดจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาไม่นานก็จะหายไปเอง แต่อาจเกิดเป็นซ้ำที่เดิมอีกก็ได้ ในบางครั้งกล้ามเนื้ออาจเป็นตะคริวพร้อมๆกันหลายๆมัดก็ได้ เกิดจากหลายสาเหตุเช่น ร่างกายขาดเกลือแร่ ฝึกซ้อมนานเกินไป สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม รวมทั้งการใช้ผ้ายืดรัดบนกล้ามเนื้อค่อนข้างแน่นทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี  การป้องกันทำได้โดยพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุดังกล่าว การปฐมพยาบาลโดยการให้หยุดออกกำลังกายในทันที ให้ค่อยๆ เหยียดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวอย่างช้าๆ นุ่มนวล ใช้ความร้อนประคบเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณนั้นมากขึ้น
                 2.2.   กล้ามเนื้อบวม (Compartmental Syndrome)  เกิดจากการฝึกซ้อมหนักเกินไป ทำให้มีการคั่งของน้ำนอกเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้น้ำที่คั่งเกิดแรงดันเบียดมัดกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างเคียง จะเกิดอาการบวมตึงที่กล้ามเนื้อ จะรู้สึกปวด ส่วนใหญ่จะพบที่กล้ามเนื้อน่อง  การปฐมพยาบาลโดยการหยุดฝึกซ้อมทันที แล้วใช้ความเย็นประคบเพื่อลดอาการปวด พันด้วยผ้ายืด และเวลาพักผ่อนให้ยกกล้ามเนื้อที่บวมอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ
                  2.3.   กล้ามเนื้อฉีก (Strain)  มักพบที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ด้านหลัง และน่อง  แบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับคือ
·         ระดับที่หนึ่ง  กล้ามเนื้อฉีกขาดเล็กน้อย    จะมีการบาดเจ็บเล็กน้อย อาจบวมหรือไม่บวมก็ได้ ปกติจะหายภายใน 3 วันโดยใช้ผ้ายืดพันยึดส่วนนั้นเอาไว้
·         ระดับที่สอง  กล้ามเนื้อฉีกปานกลาง    กล้ามเนื้อยังทำงานได้บ้าง จะมีอาการปวดบวม ต้องพันยึดด้วยผ้ายืดและใส่เฝือก โดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
·         ระดับที่สาม  กล้ามเนื้อฉีกขาดสมบูรณ์    กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้ บวมและปวดรุนแรง คลำดูจะพบรอยบุ๋มใต้ผิวหนัง จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อเย็บต่อส่วนที่ขาด และใช้กายภาพบำบัดเข้าช่วย
สาเหตุของกล้ามเนื้อฉีก เกิดได้ 2 ทางคือ
1)      เกิดจากตัวกล้ามเนื้อเอง  เป็นการเพิ่มความตึงตัวต่อกล้ามเนื้อมากกว่าที่ตัวมันจะทนได้  ได้แก่ การอบอุ่นร่างกายไม่เพียงพอ ฝึกมากเกินไป กล้ามเนื้อยืดหยุ่นไม่ดี กล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน
2)      สาเหตุจากแรงกระทำภายนอก   ทำให้เกิดอันตรายได้ตั้งแต่ผิวหนัง ไขมันและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังไปจนถึงกล้ามเนื้อ
การปฐมพยาบาลและบำบัดรักษากล้ามเนื้อฉีก แบ่งเป็น 2 ระยะคือ
1.      ระยะแรก  ภายใน 24  48 ชั่วโมง  ให้ใช้หลัก “RICE” ดังนี้
R  =  Rest  ให้พักโดยเฉพาะส่วนที่บาดเจ็บ
I   =  Ice   ใช้น้ำแข็งประคบส่วนที่บาดเจ็บ ครั้งละ 20  30 นาที วันละ 2  3 ครั้ง
C  =  Compression   พันกระชับส่วนนั้นด้วยม้วนผ้ายืด ควรใช้สำลีรองก่อน       หลักการพันคือพันจากส่วนปลายมาหาส่วนต้น (เวลานอนไม่ต้องพัน)
E  =  Elevation  ยกส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยให้เลือดไหลกลับหัวใจ เป็นการช่วยลดอาการปวดบวม
2.      ระยะที่สอง   นานเกิน 24 โ€“ 48 ชั่วโมง  ผู้บาดเจ็บเริ่มทุเลาแล้ว จะใช้ความร้อนและวิธีทางกายภาพบำบัด โดยใช้หลัก  “HEAT”  ดังนี้
H  =  Hot  ใช้ความร้อนประคบ  โดยเฉพาะความร้อนลึก(เป็นเครื่องมือทางกายภาพบำบัด) หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนก็ได้
E  =  Exercise  ลองขยับเขยื้อนส่วนที่บาดเจ็บดูเบาๆ เป็นการบริหารส่วนที่บาดเจ็บและทำการบีบนวดไปด้วย
A  =  Advanced Exercise  ระยะหลังๆ บริหารให้มากขึ้น อาจมีผู้ช่วยในการบริหารส่วนที่บาดเจ็บ หรือใช้อุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย
T  =  Training for Rehabilitation  เป็นการฝึกเพื่อช่วยฟื้นสภาพจากการบาดเจ็บให้กลับสู่สภาพปกติ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดโดยตรง
           2.4.   กล้ามเนื้อระบม (Muscular Soreness) เกิดจากกำหนดการฝึก แบ่งเป็น 2 แบบคือ
                ก.       การระบมแบบเฉียบพลัน (Acute Soreness)  ที่เกิดขึ้นระหว่างออกกำลังกายในทันทีทันใดภายหลังการออกกำลังกาย สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อมีความตึงตัวสูง เลือดไหลไปเลี้ยงไม่พอ (Ischemia) ทำให้ไม่สามารถขจัดของเสียได้ทัน จะมีอาการเจ็บปวดในกล้ามเนื้
                ข.      การระบมที่เกิดขึ้นภายหลัง (Delayed Soreness)  เป็นการระบมที่เกิดขึ้นหลังจากหยุดออกกำลังกายไปแล้ว  24 โ€“ 48 ชั่วโมง สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดจากกล้ามเนื้อ เอ็น เกิดความเสียหายระหว่างที่ออกกำลังกาย
                 การป้องกันกล้ามเนื้อระบม  ทำได้โดยการอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ ปรับปรุงวิธีการออกกำลังกายโดยเริ่มต้นแต่น้อยแล้วค่อยเพิ่มขึ้นในภายหลัง
           2.5.   การบาดเจ็บที่เอ็นกล้ามเนื้อ  (Tendon)  ประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเชื่อมระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูก  เอ็นจะมีเยื่อบางๆห่อหุ้มเรียกว่าเยื่อหุ้มเอ็น และมีปลอกหุ้มเอ็น หุ้มรอบนอกอีกชั้นหนึ่งการบาดเจ็บที่เอ็นกล้ามเนื้อ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
                 ก.       เยื่อหรือปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (Tenosynovitis)  เยื่อหุ้มเอ็นมีหน้าที่ให้อาหารและหล่อลื่นให้เอ็นกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น  การอักเสบมักพบบ่อยที่บริเวณข้อมือ ข้อเท้า เนื่องจากใช้งานมากเกินไป (0verused) จะมีอาการปวดบวม อาการจะหายไปเมื่อให้พักส่วนนั้น ร่วมกับการใส่เฝือกอ่อน (Splint) อาจให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย
                ข.      เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (Tendinitis) สาเหตุเกิดจากการใช้งานหนักเกินไปและทำอยู่เป็นประจำ หรือเกิดจากการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การวิ่งบนพื้นที่แข็ง ตลอดจนการเพิ่มความเร็วการฝึกอย่างกะทันหัน มักจะมีอาการบวม พองของเอ็นและแข็ง กดเจ็บ ตัวเอ็นสูญเสียความยืดหยุ่น รักษาได้โดยใช้วิธีการทางกายภาพบำบัด
                 ค.       เอ็นฉีกขาด (Rupture)  มักพบในคนสูงอายุ เกิดจากการเปลี่ยนทิศทาง ความเร็วในการเคลื่อนที่ทันทีทันใด การฉีกขาดอาจเกิดบางส่วนหรือทั้งมัดก็ได้ ในกรณีขาดบางส่วนจะรักษาโดยการให้พักการออกกำลังกายหนักๆ จนกว่าอาการจะลดลงเมื่ออาการปวดทุเลาลงแล้ว จะรักษาโดยวิธีการยืดเอ็น กล้ามเนื้อโดยทำช้าๆ นิ่มนวล หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด และในกรณีขาดทั้งมัดให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
3.      การบาดเจ็บที่ข้อต่อและเอ็นยึดข้อ พบในนักกีฬาบ่อยที่สุดโดยเฉพาะในกีฬาที่มีการปะทะ มีดังนีี
           3.1.   ข้อขัด (Locking)  เป็นอาการติดขัดในการเคลื่อนไหวของข้อต่อในช่วงใดช่วงหนึ่ง มีสาเหตุมาจากมีบางสิ่งบางอย่างขัดอยู่ในข้อ เช่น เศษกระดูกหรือกระดูกอ่อน การรักษาโดยการผ่าตัดเอาเศษกระดูกออกมา
           3.2.   ข้อบวม (Swelling)  เกิดจากหลายสาเหตุดังนี้
                   ก.       การบวมนอกข้อต่อ  เกิดจาการอักเสบของถุงหล่อลื่น (Bursaนอกข้อต่อ โดยทั่วไปมักไม่มีอันตรายมากนักนอกจากทำให้รำคาญ หรือในบางคนอาจมีอาการปวดร่วมด้วย การรักษาโดยวิธีทางกายภาพบำบัดหรือโดยการผ่าตัด
                   ข.      การบวมภายในข้อต่อ  เกิดจากการบวมภายในข้อต่อ บวมออกมานอกข้อต่อ การรักษาโดยการผ่าตัด
           3.3.   ข้อติด (Stiffness)  ภายหลังการบาดเจ็บของข้อต่อ มักจะทำให้ข้อนั้นติดเพราะกล้ามเนื้อรอบๆ เกิดการตึงตัว เนื่องจากไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานานๆ การรักษาโดยวิธีทางกายภาพบำบัด
           3.4.   ข้อแพลง (Sprain)  เกิดจากการเคลื่อนไหวของข้อต่อเกินมุมปกติ ทำให้เกิดการฉีกขาดของเอ็นยึดข้อต่อ รวมถึงปลอกหุ้มข้อต่อฉีกขาดด้วย มักพบที่ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้วมือ แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
               ระดับที่ 1  แพลงเล็กน้อย (Mild Sprain)  เกิดจากเอ็นยึดข้อต่อฉีกขาดเล็กน้อย กดเจ็บแต่ไม่บวม ควรหยุดเล่น 1 สัปดาห์
               ระดับที่ 2  แพลงปานกลาง (Moderate Sprain)  เกิดจากเอ็นฉีกขาดพอสมควร มีอาการกดเจ็บ บวม อาจมีเลือดคั่งต้องพันยึดด้วยผ้ายืด ควรหยุดเล่น 3 สัปดาห์
               ระดับที่ 3  แพลงรุนแรง (Severe Sprain)  เกิดจากเอ็นฉีกขาดมาก อาจฉีกขาดถึงปลอกหุ้มข้อต่อ มีอาการกดเจ็บ บวมมาก มีเลือดออก เคลื่อนไหวอย่างปกติไม่ได้ การรักษา ต้องผ่าตัดต่อเอ็นและใส่เฝือก ต้องหยุดพักไม่ต่ำกว่า 6 สัปดาห์ และต้องทำกายภาพบำบัดต่อประมาณ 4 โ€“ 6 เดือน
                การปฐมพยาบาลข้อแพลง ทำดังนี้
                    ก.       ให้ข้อต่อที่บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ และหนุนให้สูง
                   ข.      ใช้ความเย็น หรือน้ำแข็งประคบ ครั้งละ 20  30 นาที วันละ 2  3 ครั้ง
                   ค.       ใช้ผ้ายืด (Elastic Bandage)  พันรอบข้อเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว ถ้ามีการบาดเจ็บรุนแรงให้นำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษา
                   ง.       ยกข้อที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ โดยเฉพาะเวลานอน
                   จ.       หลัง 24 โ€“ 48 ชั่วโมงไปแล้วให้ใช้ความร้อนประคบ
            3.5.   ข้อหลุดหรือเคลื่อน (Dislocation)  เป็นลักษณะที่ข้อต่อกระดูกหลุดออกจากที่ที่มันอยู่ตามปกติ ทำให้เยื่อหุ้มข้อต่อฉีกขาด กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เส้นประสาทบริเวณนั้นฉีกขาด ถ้าเป็นเล็กน้อยเรียกว่าSubluxation  ถ้าเป็นรุนแรงเรียกว่า Luxation  ข้อหลุดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
                   ก.       ข้อหลุดชนิดเฉียบพลัน (Acute Dislocation)  เป็นการหลุดครั้งแรกโดยที่ไม่เคยหลุดมาก่อน
                   ข.      ข้อหลุดชนิดเรื้อรัง (Chronic Dislocation)  เป็นการหลุดตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป เป็นเพราะเอ็นยึดข้อไม่แข็งแรง หรือยืด ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด 
            สาเหตุของข้อหลุด เกิดจากแรงกระแทก หรือแรงดึงจากภายนอก หรืออาจเกิดจากพยาธิสภาพของข้อเอง จะมีอาการปวดบวม กดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่ได้ รูปร่างของข้อต่อผิดไปจากเดิม  การปฐมพยาบาล ให้ข้อที่หลุดอยู่นิ่งๆ ประคบเย็น และนำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
4.      การบาดเจ็บที่กระดูก  กระดูกเป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งของร่างกาย การเกิดกระดูกหักแสดงว่าแรงที่กระทำต้องมากหรือรุนแรงพอสมควร
           กระดูกหัก (Fracture)  หมายถึง ส่วนประกอบของกระดูกแตกแยกออกจากกันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
           1.        กระดูกหักธรรมดา (Close or Simple Fracture)  เป็นการหักของกระดูกไม่มีแผล และไม่มีกระดูกโผล่ออกมาภายนอก
            2.        กระดูกหักชนิดมีบาดแผล (Opened or Compound Fracture)  เป็นการหักของกระดูกและทิ่มแทงออกมานอกเนื้อ
       สาเหตุของกระดูกหัก แบ่งเป็น 2 แบบคือ
           1)       เกิดจากอุบัติภัย เช่น การเล่นกีฬา ตกจากที่สูง ถูกของหนักทัน
           2)       เกิดจากพยาธิสภาพของกระดูกเอง เช่น โรคกระดูกพรุน โพรงกระดูกอักเสบ มะเร็งในกระดูก เป็นต้น
       การปฐมพยาบาลกระดูกหัก มีหลักเกณฑ์ดังนี้
           1)       ให้การปฐมพยาบาลอย่างรีบด่วน
           2)       หากมีอาการเป็นลม หรือช็อก ต้องแก้ไขให้ฟื้นก่อน
           3)       ถ้ามีการตกเลือด ต้องห้ามเลือดด้วยวิธีการที่เหมาะสม
           4)       การจับหรือตรวจบริเวณที่หักต้องทำด้วยความระมัดระวัง
           5)       ถ้าจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าออก ควรใช้วิธีตัดทิ้ง
           6)       หากมีบาดแผลควรเช็ดล้างให้สะอาด แต่ห้ามล้างเข้าไปในแผล
           7)       หากจำเป็นต้องเข้าเฝือก ต้องทำด้วยความระมัดระวังและรวดเร็ว
           8)       การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ต้องกระทำให้ถูกหลักวิธีการ
           9)       รีบนำส่งแพทย์
         10)    การรักษากระดูกนั้น ต้องรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญทางกระดูกเท่านั้น

การฟื้นฟูสมรรถภาพนักกีฬา
           นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หลังจากได้รับการรักษาในระยะเฉียบพลันแล้วมักจะมีปัญหาตามมาภายหลัง ได้แก่ อาการบวม ปวดข้อ ความคล่องแคล่วว่องไว ความแข็งแรง ความทนทานและสมรรถภาพด้านอื่นๆ ลดลง จึงจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูสมรรถภาพของนักกีฬาเพื่อให้สามารถกลับไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิมและปลอดภัย
           วิธีการฟื้นฟูสมรรถภาพนักกีฬา มีหลายวิธีเช่น การประคบร้อน การนวด การออกกำลังกาย
           ประเภทของการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ
                 1.        การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง จะอาศัยน้ำหนักหรือแรงต้านเข้ามาเกี่ยวข้อง
                 2.        การออกกำลังกายเพื่อให้ข้อที่ติดมีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น มักพบที่ไหล่ ศอก เข่าและนิ้วมือ ทำโดยการบริหารร่างกายในส่วนนั้นๆเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
                 3.        การออกกำลังกายเพื่อให้มีการทำงานประสานกันระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อดีขึ้น เช่นในรายที่เอ็นฉีกขาด หรืออัมพาต ต้องฝึกโดยการให้ทำซ้ำๆในกิจกรรมหนึ่งเพื่อให้เกิดการประสานงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากง่ายๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มความซับซ้อนขึ้นตามลำดับ
                4.        การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความทนทาน เป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักน้อยๆ แต่เน้นจำนวนครั้งให้มาก
               5.     การออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย  เป็นการออกกำลังกายในผู้ป่วยที่มีความเครียดสูง โดยให้ผู้ป่วยอยู่ในสถานที่ที่สงบ อยู่ในท่าที่สบาย หายใจเข้าออกช้าๆเป็นจังหวะ บริหารโดยการเหยียดข้อต่อต่างๆไปมาอย่างสบาย





วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แฟนซ่า กีฬามัน

10 อันดับสนามกีฬาที่โด่งดังที่สุดในโลก

1. Circuit De.Monaco
          สนามแข่งรถที่โด่งดังที่สุดในโลก แท้จริงแล้วเกิดจากการกั้นถนนในเมืองมอนติคาร์โลและลา กอนดาไมน์ อันเป็นเมืองท่าสำคัญของรัฐอิสระโมนาโก บางครั้งจึงมีชื่อเรียกสนามนี้เล่น ๆ ว่าสนามมอนติคาร์โล (เริ่มคุ้นชื่อแล้วใช่มั้ยฮะ) สนามนี้มีความยาว 3.34 กิโลเมตร และสถิติที่ดีที่สุดในการกระทืบคันเร่งบนสนามนี้คือ 1 นาที 14.439 วินาที เจ้าของสถิติไม่ใช่ใครที่ไหน มิชาเอล ชูมัคเกอร์ นั่นเอง

2. Soccer.City.Stadium,.Johannesburg
          สนามฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สนามแห่งนี้ออกแบบร่วมกันโดยบริษัท Boogertman & Partners และบริษัท Populous และได้รางวัลการออกแบบโครงสร้างยอดเยี่ยมจาก Leading European Architects Forum หรือ LEAF Awards2010 เมื่อกันยายนที่ผ่านมานี่เอง โดยสาเหตุที่สนามซึ่งสามารถจุกองทัพผู้ชมได้มากถึง 94,700 คนนี้โด่งดังสุดขีดก็


3. Wembley Stadium,.London
           สนามฟุตบอลที่คลาสสิกที่สุดสนามหนึ่งบนพื้นโลก ด้วยหอคอยคู่อันโด่งดังและการที่มันเป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ บนผืนแผ่นดินอังกฤษ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น "Home of Football" สนามแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นสนามฟุตบอลที่คุณต้องไปเยือนสักครั้งให้ได้ชีวิต แต่ชาตินี้คงหมดโอกาสแล้วเนื่องจากสนามเวมบลีย์ถูกทุบทิ้งและสร้างสนามใหม่ทับลงไปบนสนามเดิม ในชื่อว่า New Wembley

4. Yankee Stadium,.New York
          สนามเหย้าของทีมเบสบอลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ ขนาดคนไม่ดูเบสบอลยังรู้จัก หรือแม้แต่เคยสวมหมวกที่มีสัญลักษณ์ Nไขว้กับ Yมาแล้ว ทีมนิวยอร์ค แยงกีส์นั่นเอง เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1923 และเมื่อปลายปี 2009 เพิ่งมีการปรับปรุงภายในตัวสนามเสียใหม่แต่ยังคงรูปแบบเปลือกอาคารไว้คงเดิมเพื่อความคลาสสิก ทำให้สนามแห่งนี้ทั้งทันสมัยและเข้มขลังด้วยมนต์สะกดแห่งกีฬาที่ชาวอเมริกันคลั่งไคล้

5. Beijing.National Stadium,.Beijing
          เจ้าของชื่อเล่นน่ารักน่าชังว่ารังนกผลงานการออกแบบของสถาปนิกชื่อก้องโลกอย่าง Herzog & De Meuron ร่วมกับสถาบันออกแบบสถาปัตยกรรมจีน โดยมีอ้าย เหว่ย เหว่ย ศิลปินร่วมสมัยชาวจีนเป็นคนให้คำปรึกษาในการออกแบบ ได้เป็นอาคารสนามกีฬาสำหรับการแข่งขันโอลิมปิค 2008 ที่ประเทศจีนเมื่อ 2 ปีก่อน และกลายมาเป็นสนามกีฬาที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในทันที ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา 

6. Ascot.Racecourse,.Berkshire
          สนามแข่งม้าที่ดังที่สุดของอังกฤษและของโลก แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในแง่การมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น แต่สถานที่แห่งนี้มีประเพณีเทศกาลที่ชนชั้นสูงในอังกฤษจะมาปาร์ตี้กันและสวมหมวกรูปทรงประหลาดโลกที่ชีวิตนี้คุณคงไม่มีโอกาสได้ใส่มาประชันกันเต็มงาน สนามแอสคอตเปิดใช้งานมาแล้วหลายร้อยปีตั้งแต่ปี 1711 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการเปิดให้มีการแข่งขันม้าแข่งอย่างเป็นทางการ ร่วมหลายร้อยปีที่ม้านับพันนับหมื่นตัวพาตัวเองมาห้อตะบึงฝีเท้ากันในสนามแห่งนี้ทำให้มันยังคงความคลาสสิกไม่เคยเสื่อมคลาย

7. Maracana, Rio de Janeiro
          สนามซึ่งเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1950 นี้เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นสนามฟุตบอลที่จุผู้ชมได้มากที่สุดในโลก ทำสถิติจุคนดูมาแล้วถึง 199,854 ราย เป็นภาพที่ใครไม่ได้ไปสัมผัสเองคงจินตนาการไม่ออกถึงความยิ่งใหญ่และน่าขนลุกของสนามมาราคาน่าแห่งนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์อัฒจันทร์ถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิต 3 รายเมื่อปี 1992ทำให้มีการปิดปรับปรุงสนามเสียใหม่ให้มีที่นั่งจำกัดลงเหลือ 82,238 คน และสนามแห่งนี้จะถูกใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่บราซิลในปี 2014 และกีฬาโอลิมปิกที่บราซิลเช่นกันในปี 2016 รับรองว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยือนสนามยักษ์เปี่ยมมนต์สะกดสนามนี้กันล้นหลามแน่นอน

8. Wimbledon,.London
          สนามแข่งขันเทนนิสรายการแกรนด์สแลมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสนามนี้มีมนต์เสน่ห์พิเศษไม่เหมือนใคร ด้วยคอร์ทหญ้าอันลือลั่นที่ถือเป็นต้นกำเนิดของนักเทนนิสมือระดับโลกหลายรายมาแล้ว สิ่งที่ทำให้สนามเทนนิสแห่งนี้โด่งดังก็เนื่องมาจากธรรมเนียมปฏิบัติอันเคร่งครัดเป็นเอกลักษณ์ของการแข่งขัน ไม่ว่าจะการที่ต้องทำการแข่งขันบนคอร์ทหญ้าเท่านั้น หรือการออกระเบียบให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนสวมเครื่องแต่งกายสีขาวล้วนลงแข่งขัน ทำให้สนามแห่งนี้คงความขลังและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้ทุกปีไม่เสื่อมคลาย

9. Madison Square Garden,.New York
          สนามกีฬาเอนกประสงค์ชื่อดังกลางมหานครนิวยอร์ค มันใช้จัดทั้งคอนเสิร์ต การแข่งขันบาสเกตบอล มวยปล้ำ หรือแม้แต่ฮอคกี้ แต่ที่โด่งดังที่สุดคือการจัดแข่งขันชกมวย คอมวยทุกท่านไม่มีใครไม่รู้จักสนามที่มีชื่อเล่น ๆ ว่า เดอะการ์เด้น แห่งนี้ หรือจะพูดให้ถูกคือคงไม่มีคอกีฬาท่านไหนไม่รู้จักสนามแห่งนี้ ในปัจจุบันเดอะการ์เด้นแห่งนี้ทำสถิติเป็นสนามกีฬาที่ขายตั๋วต่อวันได้มากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก ทั้ง ๆ ที่มีความจุสนามเพียง 20,000 ที่เท่านั้น ตัวเลขนี้คงพอบ่งบอกความฮิตของมันได้เป็นอย่างดี

10. Lord's,.London
          อาจเป็นอันดับที่ชวนฉงนเล็กน้อย เมื่อสนามคริกเกตสนามหลักของอังกฤษเข้ามามีส่วนร่วมใน 10 อันดับนี้ ด้วยความจุสามหมื่นที่นั่ง และเปิดใช้งานมาแล้วตั้งแต่ปี 1814 ทำให้สนามคริกเกตแห่งนี้เปี่ยมมนต์ขลังสไตล์อังกฤษแท้ ๆ จนได้ชื่อว่าเป็น“บ้านของคริกเก็ต” และในปัจจุบันได้มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมเข้าไปให้สนามลอร์ดส์แห่งนี้มีความทันสมัยมากขึ้นทำให้มันยิ่งโด่งดังในฐานะสถานที่ที่ผู้ไปเยือนอังกฤษหลายคนอยากไปสัมผัสมันสักครั้ง